Monday, September 20, 2010

Chapter4

ความรู้สึกงงงัน และความสับสน ร่วมด้วยความดีใจ
ดูราวกับจะเป็นห้วงภาวะอารมณ์ที่มากเกินไปในช่วงเวลาหนึ่ง
บัตเตอร์นั่งอยู่ที่นั่น ในคอนโดที่เดิมแห่งนั้น
ถ้ำและคฤหาสน์วิมานเพียงหนึ่งเดียวของเธอ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม

เขา.. มีอะไรบางอย่างที่เธอสัมผัสได้
ไม่ใช่ด้วยตา กลิ่น รส รูป สัมผัส เหนือเกินไปกว่าสัมผัสทั้งห้า
หากจะให้กล่าวบรรยายออกมาดูจะทำได้ยากเหลือเกิน
เพราะบัตเตอร์เองก็ยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้อย่างถ่องแท้
การปรากฎตัวของเขาดูจะเป็นเรื่องสุดธรรมดาสามัญ
ที่ดำเนินไปตามครรลองของการเวลา แต่จับต้องไม่ได้
และดาษดื่นเกินกว่าจะสังเกต แต่อะไรบางอย่าง
ทำให้บัตเตอร์รู้สึกได้ถึงสิ่งที่แปลก
เปรียบดั่งเด็กน้อยที่ขึ้นเล่นบนเครื่องเล่นแสนหวาดเสียวที่เห็นได้ทั่วไป
แต่ความรู้สึกเมื่อกลับลงมานั้นอัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อ

"ไปซื้อเล่มใหม่มั้ย?"
บีกล่าวออกมาเมื่อเห็นบัตเตอร์กำลังพลิกหนังสือปิด
"เห้ย กำลังจะพูดอยู่พอดีเลย นี่เป็นอับดุลป่ะเนี่ย"
บัตเตอร์เพิ่งเสร็จสิ้น และละตัวเองออกจากห้วงภวังค์ที่เธอ
ตกอยู่กับมันร่วมหลายสัปดาห์ เธอชอบเสมอที่จะได้ฝังตัวอยู่ใต้เงาหนังสือ
เธอเคยกล่าวไว้ว่า
"ห้วงเวลาแห่งการอ่านหนังสือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์
เราสามารถแยกตัวออกจากโลกได้อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าอยู่ในสถานที่ไหน ความสันโดษอย่างแท้จริง"
บีเองก็เห็นด้วยกับความคิดนั้น รู้ได้จากการที่เขาพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อตอนที่บัตเตอร์พูดคำกล่าวนั่นออกมา
การมาของบีทำให้บัตเตอร์ไม่สามารถดำเนินชีวิตไปดั่งที่เคยเป็นมาได้
ดีขึ้นหรือเลวลงนั้นยากที่จะตอบ แต่ไม่สามารถห้ามใจที่จะกระโดดไปอยู่โลกเดียวกับบีได้อย่างแน่แท้
หลายอย่างที่เธอ ไม่ชอบในโลกของบี ภาพลักษณ์ภายนอก, สถานที่รอบตัว และการดำเนินชีวิต
หากแต่บัตเตอร์กลับรู้สึกว่าแก่นแท้ของบียังมีอะไรที่เธอสนใจใคร่รู้อย่างโงหัวไม่ขึ้น

บัตเตอร์เดินไปกดเครื่องเล่นเพลงให้บรรเลงบทเพลง ของ madness
บรรยากาศในห้องแปรเปลี่ยนไปในพริบตา ความสดใส, ฤดูร้อน และลูกอมหลากสีดูราวกับจะลอยตัวอยู่ในอากาศ
เธอค่อยๆ ชงกาแฟอย่างไม่เร่งร้อนนัก สองแก้ว, รสชาติเข้มข้นหน่อยของบี และรสหวานมันของเธอ
พลางหันไปมองบีที่กำลังสนใจ กล้องตัวใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อมา
เขากำลังแกะกล่องและสำรวจดู คล้ายกับเด็กน้อยแกะกล่องของเล่นด้วยความใคร่รู้
บัตเตอร์หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นอากัปกิริยานั้น
บีทำให้บัตเตอร์รู้สึกได้ ว่าเขาโตกว่า, มีเหตุผล และปกป้องเธอได้
แต่ในขณะเดียวกันก็ช่างเป็นกันเองและทำให้บัตเตอร์เปิดเผยตัวตนของเธอออกมา
ดั่งเวลาที่อยู่กับเพื่อนสาวที่สนิท เธอเองก็ยังสงสัยว่าบีให้ความรู้สึกแบบนั้นได้อย่างไร
เหมือนมีเคมีอะไรซักอย่างที่หลอมสารที่แตกต่าง เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน

ห้วงภาวะอารมณ์.. บัตเตอร์ไม่สามารถละทิ้งและสลัดมันได้เลย.



Wednesday, July 21, 2010

Except.

เรื่องราวต่างๆ ในช่วงชีวิตแต่ละวัน
เหมือนจะเปลี่ยนแปลง และเคลื่อนไหวอยู่ตลอด
บางเรื่องเกิดขึ้นตามคาด บางเรื่องเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด
บางคนนัดกันมาเจอ บางคนเจอโดยบังเอิญ
มันก็คงเป็นความสนุกในการใช้ชีวิต อีกแบบนึงล่ะมั้ง
เป็นเหตุที่ทำให้ทุกวันยังน่าตื่นเต้น

แต่ฉันกลับรู้สึกว่าทุกสิ่งอัน ก็เกิดซ้ำ
สุข เศร้า เหงา ซึม เหนื่อย สนุก รัก เกลียด ลืม
วนไปวนมา บางทีก็เบื่อ

แต่บางที ก็สนุกดีนะ ที่เราจะได้เฝ้ามอง
เหตุการณ์ต่างๆ ที่มันเกิดซ้ำไปซ้ำมาจากอดีตที่เราได้เคยบันทึกไว้
ไม่ว่าจะในกระดาษ ไดอารี่ บล็อค เวบไซต์ หรือแม้แต่ ในความทรงจำ

ได้เห็นการกระทำโง่ๆ ของตัวเองในอดีตก็เป็นเรื่องดี
ได้เห็นความคิดอ่านของตัวเอง ที่เปลี่ยนไปตามสภาวะและเวลา

แล้วก็ได้รู้ว่า แท้จริงแล้วก็ไม่ค่อยจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ฮ่าๆๆ



เพราะแท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านั้น ไม่มีอยู่จริง..
มีแต่สิ่งที่เราสร้างมันขึ้นมา

Wednesday, July 7, 2010

Cannot.

บางอย่างในโลกนี้ บางทีก็มีอะไรที่ไม่ได้

มันใช่รึเปล่า?
บางทีเราก็เบื่อ
บางทีเราก็หน่าย

ความรู้สึกท้อแท้เป็นอะไรที่หดหู่และบั่นทอนจิตใจได้สูงส่งดีแท้
สภาวะไร้ซึ่งที่พึ่ง อันที่จริงก็ควรจะชิน เพราะตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ตระหนักซึ้ง แต่ก็ยังจมปลัก ติดหล่ม ก้าวขาไม่ขึ้น

ฉันเบื่อ การคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งแล้ว
แต่พอเจอปัญหาก็ยังเหมือนเดิม เบื่อ เบื่อ เบื่อ


เบื่อทุกสิ่งทุกอันที่ไม่ได้ดั่งใจ.

Sunday, July 4, 2010

change or changed?

เปิดเทอมแล้ว ก็เหนื่อยหน่ายกันตามประสา
เปิดเทอมแล้ว ก็เมามายกันตามประสา
เปิดเทอมแล้ว ก็สนุกสนานกันตามประสา
เปิดเทอมแล้ว ก็..

เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อยจริงๆ

บันทึกความจำ หรือบันทึกกันลืม?
สรุปว่าฉันอยากจำหรืออยากลืม
ฉันยังไม่มั่นใจ.

Sunday, May 16, 2010

treat.

การกำจัด อัตตา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับฉัน
ฉันเรียนรู้ที่จะฝึกฝนการควบคุม ไม่ให้สิ่งนั้น กินพื้นที่มากเกินไป
ทั้งในระบบความคิด และ จิต
เริ่มจากการงดข้อเรียกร้องต้องการที่มีต่อผู้อื่น
(หลักแนวคิดจาก คุณ เสกสรรค์+ที่ฝึกงาน)
ซึ่งก็ค่อนข้างจะเป็นไปในทิศทางที่ดีเมื่ออารมณ์อยู่ในภาวะปกติ

แต่เมื่ออารมณ์ไม่อยู่ในภาวะปกติล่ะ?

เมื่อวานฉันได้มีบทสนทนาที่ค่อนข้างไม่ปกติเท่าไหร่
(แต่ปกติไปแล้ว สำหรับเราสองคน)
ก็เป็นการโต้เถียงแบบธรรมดาที่เราชินชาเสียแล้ว
แต่สิ่งที่ฉันรู้สึกต่างไป คือ การสูญเสียภาวะควบคุมอัตตา
สิ่งหนึ่งที่ตามมาแบบชัดเจน คือความรู้สึกไม่สบอารมณ์ต่อข้อโต้แย้ง
และความรู้สึกไม่สบอารมณ์ต่อคู่สนทนา
จึงทำให้ต้องกลับมาทบทวนอีกครั้ง
นี่เรากำลังเอาอัตตาของเราไปข่มอัตตาของเค้าหรือเปล่า?

คำถามล่ะ?
ทำไมเค้าไม่เชื่อแบบเรา?
ทำไมมันหัวคิดเด็กจังวะ?
ทำไมมันวัตถุนิยมจังวะ?
ทำไมมันไร้สาระนักวะ?
ทำไมแม่งยังเถียงไม่เลิกอีกวะ?

ทุกสิ่งล้วนเป็นข้อเรียกร้องต้องการจากอีกฝ่าย
ไร้สาระจริงๆ ตัวฉัน..
สุดท้ายก็ยังเหมือนเดิม

Saturday, May 1, 2010

i don't know what to do.




เราเหนื่อย เราเบื่อหน่าย เราสับสน เราท้อแท้
เราพอแล้ว.


:'((

Friday, April 30, 2010

Nothing.




จากการฝึกงานที่ผ่านไปร่วมสองอาทิตย์
คำว่า "การเรียนรู้"
เปรียบดังเพื่อนสนิทที่กอดคอกับฉัน
บางสิ่งเข้าใจได้เมื่อดูแค่ครั้งเดียว
บางสิ่งเข้าใจได้เมื่อฟังแค่ครั้งเดียว
บางสิ่งเข้าใจได้ต่อเมื่อทบทวนอย่างถี่ถ้วน
บางสิ่งก็สูงส่งหรือลึกลับเกินกว่าสามัญสำนึก
ของคนอย่างฉันจะเรียนรู้ได้..

แต่สิ่งที่ฉันรับรู้ได้อย่างชัดเจนและสำคัญที่สุด
คือ " ฉัน มัน โง่เขลา นัก "

ฉันเฝ้าเพียรค้นหาตัวตนของตัวเอง
และเฝ้าพลันสำคัญตนว่าซักวันฉันจะพบมัน
เพื่อนำไปสู้ การก้าวข้าม, เหนือกว่า, แน่นอนกว่าผู้อื่นนัก

การเรียนรู้จากการอ่าน, ประสบการณ์, ความสำเร็จ, การล้มเหลว,
การลุกยืนหยัด ของผู้อื่น
ค่าของมันเกือบเท่ากับ "ศูนย์"

คนเราจะเข้าใจและแจ่มแจ้งกับสิ่งไหน
ต่อเมื่อ พบ, ประสบ, เรียนรู้ กับ "ตัวเอง"
ถ้าไม่เช่นนั้น สิ่งที่ปรากฎมันก็เป็นแค่การอุปมาอุปไมยเท่านั้น
(ฉันเชื่อเช่นนั้น)

ฉันว่าหลักใหญ่ใจความของมัน
คือ การยอมรับได้จากการมาของการดับสูญ
หากไม่ยึดติดกับสิ่งไหน ก็ปราศจากได้ซึ่งความทุกข์
หากเข้าใจว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่ ก็ปราศจากซึ่งการถือเอาเป็นเจ้าของ

แต่คนธรรมดาอย่างฉัน ก็ต้องยอมรับว่า
" ฉันทำไม่ได้หรอก "

ฉันยังใช้ชีวิตอยู่ในทางโลก ยังห่างแท้ซึ่งทางแห่งนิพพาน

เพราะฉะนั้นหลักที่ฉันพอจะทำได้
น่าจะเป็นการวางเฉย

รู้.. อย่างแท้จริงว่าตัวเองคิดอะไร
ยอมรับ.. อย่างแท้จริงถึงสันดานเสียของสรรพสิ่ง
มองเห็น.. (เกือบ)ทุกขณะที่ความคิดทำงาน

แล้ว.. "วางเฉยกับมันซะ"

เมื่อจิตใจไม่เป็นทุกข์ ความสุขก็จะนำมาซึ่งภาวะที่จิตพร้อมที่จะทำสิ่งใหม่

ฉันอาจยังทำไม่ได้เสียอย่างสมบูรณ์แบบหรือตลอดเวลา
แต่อย่างน้อย หากทำได้เสียส่วนเสี้ยวนึงของแต่ละวันในชีวิต
มันก็ทำให้เราใช้ชีวิตได้มีความสุข
มากกว่าการแบกรับทุกอย่างไว้บนหลัง
แล้วสุดท้ายก็ได้เพียงแค่ค่าแรงน้อยนิดและความปวดเมื่อยเท่านั้น.


Thursday, April 15, 2010

SICKNESS.

มันก็แค่บันทึกความจำ..
ฉันป่วย

ป่วยป่วยป่วยป่วย

แล้วก็ป่วย.

:))

Wednesday, April 14, 2010

that road.



สำหรับฉัน..

ฉันก็ยังเป็นฉัน
ฉันก็ยังเขียนบทความที่ซึ้งกินใจ
หรือกระแทกกระทั้นกับความรู้สึก ไม่ได้อยู่ดี
ไม่ว่าฉันจะอ่านหนังสือมากแค่ไหน

ฉันก็ยังเป็นฉัน
ฉันก็ยังสร้างงานออกแบบที่สวยงามและเพอร์เฟค
หรือมีกิมมิกอันพิลึกพิลั่นและประทับใจ ไม่ได้อยู่ดี
ไม่ว่าฉันจะศึกษางานออกแบบมากแค่ไหน

ฉันก็ยังเป็นฉัน
ฉันก็ยังผอม และสูง หุ่นนางแบบ
ใครเจอก็ต้องตา และเสน่หา ไม่ได้อยู่ดี
ไม่ว่าฉันจะไดเอท และแต่งหน้ามากแค่ไหน

ฉันก็ยังเป็นฉัน
ฉันก็ยังอดทน ปลง เลิกวิตก
เป็นคนที่เดินทางสายกลาง ไม่ได้อยู่ดี
ไม่ว่าฉันจะพยายามแค่ไหน ที่จะทำให้มันได้



ฉันยังเป็นฉัน
ฉันที่งั่งๆ ฉันที่บื้อๆ ฉันที่ไร้สาระ


แต่สิ่งที่ฉันเริ่มเป็นฉัน มันอาจต่างไป



ฉันเริ่มเป็นฉัน
ที่หลงใหลการนอนอ่านหนังสือ หรือเล่นคอมอยู่บ้าน
ไม่ว่าจะออกไปข้างนอก เมามายแค่ไหน
ก็ยังอยากกลับบ้านอยู่ดี

ฉันเริ่มเป็นฉัน
ที่หลงใหลในการแสดงออกอย่างเถรตรง
ไม่ว่าฉันจะจำเป็นต้องเสแสร้งใส่ใครแค่ไหน
ฉันก็ยังอยากหลีกเลี่ยงที่จะต้องเจอคนหมู่นั้น
ที่ทำให้ฉันต้องเสแสร้ง ทำให้ฉันไม่ใช่ฉัน
ฉันไม่พาตัวเองไปอยู่ในสถานที่เสี่ยง

ฉันเริ่มเป็นฉัน
ที่เบื่อหน่ายกับความเมามาย(อย่างเกินขอบเขต)
และมองว่าชีวิตมันมีอะไรมากกว่านั้น



การเปลี่ยนแปลง บางทีมันก็เกิดขึ้นเร็วอย่างน่าใจหาย
จนบางที ทำให้คำว่า ตัวตน เริ่มจะเลือนลางและจางจากใจ
ก่อเกิดเป็นความสับสน และความคลางแคลงใจ

แต่บางที ไอคำว่า "ตัวตน" อาจอยู่ไกลเกินไปสำหรับฉัน
หรือไม่มันก็อยู่ลึกมากจนยังค้นหาไม่เจอ

แต่ซักวัน..
ฉันจะเจอมันอย่างจัง กอดคอกันได้
และหัวเราะกับวันคืนเก่าๆ ที่น่าขันร่วมกัน อย่างเพื่อนที่เข้าใจกันมานาน




ใช่มั้ย?

Thursday, April 8, 2010

lonely are the brave.




lonely are the brave.
ฉันเจอคำๆ นี้ในหนังสือ TRY ของคุณวงศ์ทนง
ทันทีที่เห็นก็สะดุดเลย มันยังไงกันนะ?
พออ่านๆ ไปจนจบบท สรุปว่าฉันชอบบทนี้
ที่สุดในหนังสือ TRY เลย

พยายามจะเล่าอธิบายเนื้อความในบทนั้น
ที่คุณวงศ์ทนงเค้าเขียนไว้ให้คนอื่นฟังต่อตั้งหลายรอบ
แต่ปรากฎว่า ไม่ประสบผลสำเร็จ ไม่เห็นมีใครอินด้วยเลย ฮ่าๆ
แต่นั่นล่ะ มันอาจจะเพราะฉันเล่าห่วยมาก
เอาเป็นว่าแนะนำให้ไปอ่านเอง


แต่สำหรับฉัน.. lonely are the brave จริงๆ

ฉันเป็นมนุษย์พวกที่ชอบอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างสูง
ฉันเกลียดการอยู่คนเดียว ตั้งแต่เด็กยันโต
ฉันจึงเป็นคนที่มีเพื่อนค่อนข้างเยอะ
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ขี้เหงามาก

แต่เวลาที่ฉันเหงา..
เป็นช่วงเวลาที่ฉันได้ทบทวนความรู้สึกตัวเอง
เป็นช่วงเวลาที่ฉันได้อ่านหนังสือ
เป็นช่วงเวลาที่ฉันได้ฟังเพลงที่อยากฟัง
เป็นช่วงเวลาที่มันกัดกร่อน.. แต่ไม่ใช่จิตใจ

จนเมื่อเวลาผ่านไป ถึงตอนนี้ ณ วันนี้ ณ ขณะนี้

ฉัน อยากไปดูงานดีๆ บางอย่างคนเดียว
ฉัน อยากไปนั่งอ่านหนังสือในที่บางแห่ง คนเดียว
ฉัน เบื่อการคุยโทรศัพท์นานๆ (ทั้งที่เมื่อก่อนติดมากๆ)
ฉัน เบื่อการคิดถึงเรื่องอะไรที่มันกลุ้มใจนานๆ
ฉัน เบื่อการสอดรู้ที่ไม่เข้าท่า ที่ตัวฉันเองยังทำ


อะไรๆ มันเปลี่ยนไปมาก..
ไม่รู้ว่ามันเริ่มที่จะเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่ถึงวันนี้ ฉันภูมิใจและพอใจ กับฉันในวันนี้

ถ้าผ่านไปอีกปี.. จะเป็นยังไงนะ?


ที่แน่ๆ "ความเหงา" มันมีส่วนที่สร้างฉันให้เป็นฉันแบบนี้
เป็นเพื่อนสนิท ที่สนิทมานาน แต่ฉันกลับมองข้ามไป

ความเหงา สร้างให้ฉันกล้าหาญ

ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากจะลองเหงาแบบเต็มใจดู
อาจจะเท่ดีก็ได้นะ :)

best not.

ตลกดี.. พอเข้ามาจะเขียนหน้าใหม่
เจอหน้าข้างล่าง เขียนไว้ว่า มันจะไม่มีวันเกิดขึ้น (มั้ง)
เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์..

เออ.. มันมั้งจริงๆ เนอะ เพราะมันก็เหมือนจะเกิดละ :D


ฉันใช้ช่วงเวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ด้วยความรู้สึก งงๆ
เหมือนจะทุกข์ แต่ไม่สุด
เหมือนจะสุข แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
มันเร็ว แล้วก็เกิดอะไรขึ้นมากมายให้คิด
บางอย่างมันเหมือนจะใช่ แต่ก็ยังสงสัย
คิดไปคิดมา อ่านไปอ่านมา งง
เจอแต่คำว่า "งง"


เมื่อช่วงเวลาแห่งการทบทวนมาถึง มันก็ช่างน่างงไม่หาย
ที่เหตุการณ์ทั้งหลายก็ดูจะเลือนลางจากความทรงจำ
แต่เหมือนมันยังฝังตัว.. จิกเล็บ.. บ่งบอกว่ามันยังไม่จากไป

ฉันยังสงสัยอยู่ ว่าตัวฉันเองรึป่าว?
ที่พยายามจะผลักมันลงไปให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้
หรือว่า จะไม่ใช่?



แต่สุดท้ายแล้ว เวลาเกือบอาทิตย์ที่ผ่านมา
ฉันได้เรียนรู้ถึงความเจ็บปวดทางใจอย่างสูง
แล้วฉันก็ได้เรียนรู้ ที่จะเพิกเฉยกับมัน (มั้ง)

เอาง่ายๆ ดีกว่า
ฉันอยากที่จะปลง กับทุกสิ่งที่มันไม่เข้าที่เข้าทาง
ฉันอยากที่จะปลง กับทุกสิ่งที่เหนือการควบคุม
ฉันอยากที่จะปลง กับทุกสิ่งที่ธรรมชาติของมันสร้างมาแบบนั้น

บางครั้ง ก็ต้องยอมรับกับตัวเอง อย่างหน้าจ๋อยๆ
ว่ามันทำไม่ได้นะ บางเวลามันยังคิด บางเวลามันยังคลั่ง

แต่ฉันคิดว่า สิ่งสำคัญของประโยคนี้คือคำว่า "บางเวลา"


เลือกวางคำว่า "ความทุกข์" ไว้ข้างคำว่า "บางเวลา"



เออ.. มันก็ดูไม่ได้ทุกข์มากนี่หว่า :))

Saturday, April 3, 2010

it's not gonna happen.



มันจะไม่มีวันเกิดขึ้น.. (มั้ง)

i know that..
i know as much as i have to know
and that's enough to make a decision.
but i just..
can't deny.


ฉันมักจะทุ่มเทให้กับความรักมากที่สุดเสมอ
แล้วนั่นมันก็คือจุดอ่อนของฉัน (อยู่ตรงที่หัวใจ)
แหวะ เสี่ยว ไม่น่าเล่นเลย
บางทีฉันก็คิด.. ไร้สาระว่ะ

love is a burning thing
that always true.

Friday, April 2, 2010

First*



first blog of the year! :)

ฮ่าๆ จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอก แต่ว่าเป็นบล็อกเดียวที่สร้างใหม่ในปีนี้
แต่เขียนๆๆ มากกก มายแล้ว ปีนี้ เป็นปีที่วุ่นวายทีเดียว
ตั้งแต่ต้นปีก็มีเรื่องให้เล่าเยอะแยะ สงสัยปีนี้จะสนุกไม่น้อย

แค่อยากมีพื้นที่เล็กๆ เพิ่ม แค่นั้นเอง.

ฉันยังดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ เหมือนเดิม
ผ่านเรื่องอะไรใหม่ๆ บ้าง เดิมๆ บ้าง แต่ก็พอไหว
ท่าทีครึ่งๆ กลางๆ เป็นปัญหาของฉันมากที่สุดในตอนนี้
ทั้งฉัน ทั้งเธอ ทั้งเขา ทั้งใคร

การทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่สามารถช่วยอะไรฉันได้เลย
มีแต่รังให้เกิดความคลางแคลงใจ และสงสัย
ฉันจะเดินต่อตามทางของฉัน สิ่งไหนดีก็เก็บ ไม่ดีก็ทิ้ง

พอแล้ว เงื่อนไขและท่าทางไว้ตัว

ฉันจะทำทุกอย่างตามแรงบันดาลใจ :)
(ถ้าไม่เดือดร้อนใครมากไปนักนะ)


so keep rolling on to something newww! baby :D