Monday, September 20, 2010

Chapter4

ความรู้สึกงงงัน และความสับสน ร่วมด้วยความดีใจ
ดูราวกับจะเป็นห้วงภาวะอารมณ์ที่มากเกินไปในช่วงเวลาหนึ่ง
บัตเตอร์นั่งอยู่ที่นั่น ในคอนโดที่เดิมแห่งนั้น
ถ้ำและคฤหาสน์วิมานเพียงหนึ่งเดียวของเธอ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม

เขา.. มีอะไรบางอย่างที่เธอสัมผัสได้
ไม่ใช่ด้วยตา กลิ่น รส รูป สัมผัส เหนือเกินไปกว่าสัมผัสทั้งห้า
หากจะให้กล่าวบรรยายออกมาดูจะทำได้ยากเหลือเกิน
เพราะบัตเตอร์เองก็ยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้อย่างถ่องแท้
การปรากฎตัวของเขาดูจะเป็นเรื่องสุดธรรมดาสามัญ
ที่ดำเนินไปตามครรลองของการเวลา แต่จับต้องไม่ได้
และดาษดื่นเกินกว่าจะสังเกต แต่อะไรบางอย่าง
ทำให้บัตเตอร์รู้สึกได้ถึงสิ่งที่แปลก
เปรียบดั่งเด็กน้อยที่ขึ้นเล่นบนเครื่องเล่นแสนหวาดเสียวที่เห็นได้ทั่วไป
แต่ความรู้สึกเมื่อกลับลงมานั้นอัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อ

"ไปซื้อเล่มใหม่มั้ย?"
บีกล่าวออกมาเมื่อเห็นบัตเตอร์กำลังพลิกหนังสือปิด
"เห้ย กำลังจะพูดอยู่พอดีเลย นี่เป็นอับดุลป่ะเนี่ย"
บัตเตอร์เพิ่งเสร็จสิ้น และละตัวเองออกจากห้วงภวังค์ที่เธอ
ตกอยู่กับมันร่วมหลายสัปดาห์ เธอชอบเสมอที่จะได้ฝังตัวอยู่ใต้เงาหนังสือ
เธอเคยกล่าวไว้ว่า
"ห้วงเวลาแห่งการอ่านหนังสือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์
เราสามารถแยกตัวออกจากโลกได้อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าอยู่ในสถานที่ไหน ความสันโดษอย่างแท้จริง"
บีเองก็เห็นด้วยกับความคิดนั้น รู้ได้จากการที่เขาพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อตอนที่บัตเตอร์พูดคำกล่าวนั่นออกมา
การมาของบีทำให้บัตเตอร์ไม่สามารถดำเนินชีวิตไปดั่งที่เคยเป็นมาได้
ดีขึ้นหรือเลวลงนั้นยากที่จะตอบ แต่ไม่สามารถห้ามใจที่จะกระโดดไปอยู่โลกเดียวกับบีได้อย่างแน่แท้
หลายอย่างที่เธอ ไม่ชอบในโลกของบี ภาพลักษณ์ภายนอก, สถานที่รอบตัว และการดำเนินชีวิต
หากแต่บัตเตอร์กลับรู้สึกว่าแก่นแท้ของบียังมีอะไรที่เธอสนใจใคร่รู้อย่างโงหัวไม่ขึ้น

บัตเตอร์เดินไปกดเครื่องเล่นเพลงให้บรรเลงบทเพลง ของ madness
บรรยากาศในห้องแปรเปลี่ยนไปในพริบตา ความสดใส, ฤดูร้อน และลูกอมหลากสีดูราวกับจะลอยตัวอยู่ในอากาศ
เธอค่อยๆ ชงกาแฟอย่างไม่เร่งร้อนนัก สองแก้ว, รสชาติเข้มข้นหน่อยของบี และรสหวานมันของเธอ
พลางหันไปมองบีที่กำลังสนใจ กล้องตัวใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อมา
เขากำลังแกะกล่องและสำรวจดู คล้ายกับเด็กน้อยแกะกล่องของเล่นด้วยความใคร่รู้
บัตเตอร์หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นอากัปกิริยานั้น
บีทำให้บัตเตอร์รู้สึกได้ ว่าเขาโตกว่า, มีเหตุผล และปกป้องเธอได้
แต่ในขณะเดียวกันก็ช่างเป็นกันเองและทำให้บัตเตอร์เปิดเผยตัวตนของเธอออกมา
ดั่งเวลาที่อยู่กับเพื่อนสาวที่สนิท เธอเองก็ยังสงสัยว่าบีให้ความรู้สึกแบบนั้นได้อย่างไร
เหมือนมีเคมีอะไรซักอย่างที่หลอมสารที่แตกต่าง เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน

ห้วงภาวะอารมณ์.. บัตเตอร์ไม่สามารถละทิ้งและสลัดมันได้เลย.



Wednesday, July 21, 2010

Except.

เรื่องราวต่างๆ ในช่วงชีวิตแต่ละวัน
เหมือนจะเปลี่ยนแปลง และเคลื่อนไหวอยู่ตลอด
บางเรื่องเกิดขึ้นตามคาด บางเรื่องเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด
บางคนนัดกันมาเจอ บางคนเจอโดยบังเอิญ
มันก็คงเป็นความสนุกในการใช้ชีวิต อีกแบบนึงล่ะมั้ง
เป็นเหตุที่ทำให้ทุกวันยังน่าตื่นเต้น

แต่ฉันกลับรู้สึกว่าทุกสิ่งอัน ก็เกิดซ้ำ
สุข เศร้า เหงา ซึม เหนื่อย สนุก รัก เกลียด ลืม
วนไปวนมา บางทีก็เบื่อ

แต่บางที ก็สนุกดีนะ ที่เราจะได้เฝ้ามอง
เหตุการณ์ต่างๆ ที่มันเกิดซ้ำไปซ้ำมาจากอดีตที่เราได้เคยบันทึกไว้
ไม่ว่าจะในกระดาษ ไดอารี่ บล็อค เวบไซต์ หรือแม้แต่ ในความทรงจำ

ได้เห็นการกระทำโง่ๆ ของตัวเองในอดีตก็เป็นเรื่องดี
ได้เห็นความคิดอ่านของตัวเอง ที่เปลี่ยนไปตามสภาวะและเวลา

แล้วก็ได้รู้ว่า แท้จริงแล้วก็ไม่ค่อยจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ฮ่าๆๆ



เพราะแท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านั้น ไม่มีอยู่จริง..
มีแต่สิ่งที่เราสร้างมันขึ้นมา

Wednesday, July 7, 2010

Cannot.

บางอย่างในโลกนี้ บางทีก็มีอะไรที่ไม่ได้

มันใช่รึเปล่า?
บางทีเราก็เบื่อ
บางทีเราก็หน่าย

ความรู้สึกท้อแท้เป็นอะไรที่หดหู่และบั่นทอนจิตใจได้สูงส่งดีแท้
สภาวะไร้ซึ่งที่พึ่ง อันที่จริงก็ควรจะชิน เพราะตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ตระหนักซึ้ง แต่ก็ยังจมปลัก ติดหล่ม ก้าวขาไม่ขึ้น

ฉันเบื่อ การคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งแล้ว
แต่พอเจอปัญหาก็ยังเหมือนเดิม เบื่อ เบื่อ เบื่อ


เบื่อทุกสิ่งทุกอันที่ไม่ได้ดั่งใจ.

Sunday, July 4, 2010

change or changed?

เปิดเทอมแล้ว ก็เหนื่อยหน่ายกันตามประสา
เปิดเทอมแล้ว ก็เมามายกันตามประสา
เปิดเทอมแล้ว ก็สนุกสนานกันตามประสา
เปิดเทอมแล้ว ก็..

เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อยจริงๆ

บันทึกความจำ หรือบันทึกกันลืม?
สรุปว่าฉันอยากจำหรืออยากลืม
ฉันยังไม่มั่นใจ.

Sunday, May 16, 2010

treat.

การกำจัด อัตตา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับฉัน
ฉันเรียนรู้ที่จะฝึกฝนการควบคุม ไม่ให้สิ่งนั้น กินพื้นที่มากเกินไป
ทั้งในระบบความคิด และ จิต
เริ่มจากการงดข้อเรียกร้องต้องการที่มีต่อผู้อื่น
(หลักแนวคิดจาก คุณ เสกสรรค์+ที่ฝึกงาน)
ซึ่งก็ค่อนข้างจะเป็นไปในทิศทางที่ดีเมื่ออารมณ์อยู่ในภาวะปกติ

แต่เมื่ออารมณ์ไม่อยู่ในภาวะปกติล่ะ?

เมื่อวานฉันได้มีบทสนทนาที่ค่อนข้างไม่ปกติเท่าไหร่
(แต่ปกติไปแล้ว สำหรับเราสองคน)
ก็เป็นการโต้เถียงแบบธรรมดาที่เราชินชาเสียแล้ว
แต่สิ่งที่ฉันรู้สึกต่างไป คือ การสูญเสียภาวะควบคุมอัตตา
สิ่งหนึ่งที่ตามมาแบบชัดเจน คือความรู้สึกไม่สบอารมณ์ต่อข้อโต้แย้ง
และความรู้สึกไม่สบอารมณ์ต่อคู่สนทนา
จึงทำให้ต้องกลับมาทบทวนอีกครั้ง
นี่เรากำลังเอาอัตตาของเราไปข่มอัตตาของเค้าหรือเปล่า?

คำถามล่ะ?
ทำไมเค้าไม่เชื่อแบบเรา?
ทำไมมันหัวคิดเด็กจังวะ?
ทำไมมันวัตถุนิยมจังวะ?
ทำไมมันไร้สาระนักวะ?
ทำไมแม่งยังเถียงไม่เลิกอีกวะ?

ทุกสิ่งล้วนเป็นข้อเรียกร้องต้องการจากอีกฝ่าย
ไร้สาระจริงๆ ตัวฉัน..
สุดท้ายก็ยังเหมือนเดิม

Saturday, May 1, 2010

i don't know what to do.




เราเหนื่อย เราเบื่อหน่าย เราสับสน เราท้อแท้
เราพอแล้ว.


:'((

Friday, April 30, 2010

Nothing.




จากการฝึกงานที่ผ่านไปร่วมสองอาทิตย์
คำว่า "การเรียนรู้"
เปรียบดังเพื่อนสนิทที่กอดคอกับฉัน
บางสิ่งเข้าใจได้เมื่อดูแค่ครั้งเดียว
บางสิ่งเข้าใจได้เมื่อฟังแค่ครั้งเดียว
บางสิ่งเข้าใจได้ต่อเมื่อทบทวนอย่างถี่ถ้วน
บางสิ่งก็สูงส่งหรือลึกลับเกินกว่าสามัญสำนึก
ของคนอย่างฉันจะเรียนรู้ได้..

แต่สิ่งที่ฉันรับรู้ได้อย่างชัดเจนและสำคัญที่สุด
คือ " ฉัน มัน โง่เขลา นัก "

ฉันเฝ้าเพียรค้นหาตัวตนของตัวเอง
และเฝ้าพลันสำคัญตนว่าซักวันฉันจะพบมัน
เพื่อนำไปสู้ การก้าวข้าม, เหนือกว่า, แน่นอนกว่าผู้อื่นนัก

การเรียนรู้จากการอ่าน, ประสบการณ์, ความสำเร็จ, การล้มเหลว,
การลุกยืนหยัด ของผู้อื่น
ค่าของมันเกือบเท่ากับ "ศูนย์"

คนเราจะเข้าใจและแจ่มแจ้งกับสิ่งไหน
ต่อเมื่อ พบ, ประสบ, เรียนรู้ กับ "ตัวเอง"
ถ้าไม่เช่นนั้น สิ่งที่ปรากฎมันก็เป็นแค่การอุปมาอุปไมยเท่านั้น
(ฉันเชื่อเช่นนั้น)

ฉันว่าหลักใหญ่ใจความของมัน
คือ การยอมรับได้จากการมาของการดับสูญ
หากไม่ยึดติดกับสิ่งไหน ก็ปราศจากได้ซึ่งความทุกข์
หากเข้าใจว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่ ก็ปราศจากซึ่งการถือเอาเป็นเจ้าของ

แต่คนธรรมดาอย่างฉัน ก็ต้องยอมรับว่า
" ฉันทำไม่ได้หรอก "

ฉันยังใช้ชีวิตอยู่ในทางโลก ยังห่างแท้ซึ่งทางแห่งนิพพาน

เพราะฉะนั้นหลักที่ฉันพอจะทำได้
น่าจะเป็นการวางเฉย

รู้.. อย่างแท้จริงว่าตัวเองคิดอะไร
ยอมรับ.. อย่างแท้จริงถึงสันดานเสียของสรรพสิ่ง
มองเห็น.. (เกือบ)ทุกขณะที่ความคิดทำงาน

แล้ว.. "วางเฉยกับมันซะ"

เมื่อจิตใจไม่เป็นทุกข์ ความสุขก็จะนำมาซึ่งภาวะที่จิตพร้อมที่จะทำสิ่งใหม่

ฉันอาจยังทำไม่ได้เสียอย่างสมบูรณ์แบบหรือตลอดเวลา
แต่อย่างน้อย หากทำได้เสียส่วนเสี้ยวนึงของแต่ละวันในชีวิต
มันก็ทำให้เราใช้ชีวิตได้มีความสุข
มากกว่าการแบกรับทุกอย่างไว้บนหลัง
แล้วสุดท้ายก็ได้เพียงแค่ค่าแรงน้อยนิดและความปวดเมื่อยเท่านั้น.